กฎหมายไม่คุ้มครองคนซื่อ! กฤษฎีกาตีความ ให้ บิ๊กโจ๊ก ครอบครองที่ดินเกินกว่า 80 ไร่ ได้โดยชอบ




เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงที่ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กำลังถูก สปป.ชับ ให้พ้นจากราชการในข้อหาครอบครองที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกิน 80 ไร่)
แต่เมื่อเรื่องถูกส่งถึงกฤษฎีกาแล้ว ผลการวินิจฉัยชี้ว่า ในฐานะที่ "บิ๊กโจ๊ก" ครอบครองที่ดินดังกล่าวไว้ก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้ จึงถือว่าเป็นการครอบครองโดยชอบธรรม
อ่านแล้วสงสัยเหมือนกันใช่มั้ย ก็คนเขาครองที่ดินเกินกว่า 80 ไร่แล้วจะชอบตรงไหน
เอาล่ะ เราลองมาดูเหตุผลของกฤษฎีกากัน
ประการแรก กฎหมายบังคับให้มีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แล้วจึงประกาศใช้ พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในกรณีของ "บิ๊กโจ๊ก" พื้นที่ที่ครอบครองอยู่ไม่ได้ถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ประการที่สอง "บิ๊กโจ๊ก" ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวไว้แล้วตั้งแต่ก่อนประกาศใช้ พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินฯ จึงเข้าข่ายตามหลักนิติธรรมที่ว่า "กฎหมายไม่ย้อนหลัง"
ฟังดูแล้วก็มีเหตุผลนะ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า กฎหมายแบบนี้มันช่วยปกป้องสิทธิของคนซื่อสัตย์ได้จริงมั้ย
เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคลแล้ว แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่ากฎหมายที่ไม่สามารถคุ้มครองคนซื่อสัตย์ได้กลับไปปกป้องคนที่มี "เส้น" หรือ "อำนาจ" มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมันทำให้คนซื่อสัตย์รู้สึกว่าไม่คุ้มที่จะซื่อสัตย์ไงล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายแบบนี้ยังทำให้คนทั่วไปหมดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เพราะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับทุกคน
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันกลับมาทบทวนกฎหมายกันใหม่ ว่าอะไรควรจะเป็นอะไร อะไรคือความยุติธรรมที่แท้จริง แล้วทำอย่างไรให้กฎหมายสามารถปกป้องคนซื่อสัตย์ได้อย่างทั่วถึง
เพราะถ้าปล่อยให้กฎหมายเป็นแบบนี้ต่อไป คนซื่อสัตย์ก็คงต้องกลายเป็นคนโง่ในที่สุด