ผีไฮแจ็ค




ในค่ำคืนอันมืดมิด ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับผ้ากำมะหยี่สีดำที่ไม่มีดวงดาวสักดวง มีเครื่องบินลำหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ที่นั่งว่างเปล่ามีเพียงผู้โดยสารไม่กี่คนและลูกเรือ ในห้องนักบิน กัปตันและนักบินผู้อ่อนประสบการณ์เฝ้าติดตามเส้นทางการบินอย่างจดจ่อ
ทันใดนั้น เครื่องบินก็สั่นกระเพื่อมรุนแรง ไฟกะพริบ และเสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกก็ดังก้องไปทั่วห้องโดยสาร ผู้โดยสารต่างพากันตกใจและสับสน ลูกเรือวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาสาเหตุของปัญหา แต่ไม่มีใครพบอะไรผิดปกติ
ขณะที่ความโกลาหลปะทุ ไฟในห้องนักบินก็ดับลง และความมืดก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง กัปตันและนักบินพยายามควบคุมเครื่องบิน แต่ไร้ผล เครื่องบินเริ่มหล่นลงอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวและสิ้นหวัง
ในความมืดที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ผู้โดยสารเริ่มได้ยินเสียงกระซิบที่ไม่มีตัวตนและเสียงฝีเท้าที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันดังมาจากทุกทิศทางจนพวกเขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกล้อมรอบด้วยวิญญาณที่มองไม่เห็น ความกลัวที่แสนสาหัสทำให้ผู้โดยสารหลายคนเป็นลม
ขณะที่ความโกลาหลทวีความรุนแรงขึ้น ผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญและใจเย็น เงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันรู้ว่าพวกเราจะตาย แต่ฉันไม่กลัว เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเรา"
เมื่อเธอกล่าวคำเหล่านี้ออกมา ความมืดก็ค่อยๆ สว่างขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ เครื่องบินหยุดหมุนและเริ่มไต่ระดับขึ้นช้าๆ เสียงกรีดร้องและความวุ่นวายก็ค่อยๆ จางหายไป
เมื่อไฟในห้องนักบินกลับมาอีกครั้ง กัปตันและนักบินก็พบว่าเครื่องบินอยู่เหนือพื้นดินแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้สึกขอบคุณสำหรับสิ่งที่มองไม่เห็นที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้
เมื่อเครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัย ผู้โดยสารต่างก็โผกอดกันด้วยความโล่งใจและน้ำตาแห่งความสุข พวกเขารู้ว่าพวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ บางสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ
เรื่องราวของ "ผีไฮแจ็ค" ได้เล่าขานกันมาหลายปีและกลายมาเป็นตำนานแห่งความกล้าหาญ ความหวัง และการแทรกแซงจากสิ่งที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องราวเตือนใจเราว่าแม้ในยามมืดมนที่สุด ก็ยังมีความหวังเสมอ และเราไม่เคยโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง