บอกเล่าเรื่องราวขนหัวลุกจากผู้โดยสารรถทัวร์สายใต้ที่ประสบกับเหตุการณ์สุดพิสดาร เมื่อต้องเดินทางด้วยรถทัวร์คันกลางดึกที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดและความรู้สึกแปลกๆ ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งคันรถ
เมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากสถานี เข็มนาฬิกาก็ย่างเข้าสู่เวลาเที่ยงคืนพอดี บรรยากาศภายในรถทัวร์ค่อยๆ อึมครึมลง ความมืดปกคลุมทั่วทุกซอกทุกมุมของรถ เงียบจนได้ยินได้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง
จู่ๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่เบาะหลัง เบาะที่ว่างเปล่าอยู่ๆ ก็สั่นไหวราวกับมีคนนั่งอยู่ เสียงลมพัดที่ไม่น่าจะมีอยู่ข้างในรถก็เริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ
ความกลัวค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว หญิงสาวเริ่มมองหาคนขับรถเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่าคนขับได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
ขณะที่หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก เสียงเพลงก็ดังขึ้นจากเครื่องเสียงของรถทัวร์ เป็นเพลงโหยหวนเศร้าสร้อยที่ไม่คุ้นหู ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มหายตัวไปทีละคน ทิ้งให้หญิงสาวผู้โดดเดี่ยวอยู่บนรถที่กำลังพุ่งทะยานไปในความมืด
เมื่อหญิงสาวรวบรวมความกล้าที่จะลุกขึ้นเปิดไฟ ไฟหน้ารถกลับไม่ทำงาน ความกลัวแทบจะพรากสติของเธอไป เมื่อเธอมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบแต่ความมืดมิดที่ไร้หนทางสิ้นสุด
จู่ๆ รถทัวร์ก็หยุดนิ่งกลางทาง หญิงสาวรีบวิ่งลงจากรถเพื่อสำรวจ แต่รถคันนั้นกลับว่างเปล่า ไม่เหลือผู้โดยสารหรือคนขับแม้แต่คนเดียว
เมื่อเธอหันหลังกลับมา รถทัวร์ที่เธอเพิ่งลงมากลับหายไปแล้ว เธอเหลือเพียงลำพังอยู่ท่ามกลางความมืดอันเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดที่พัดโบกราวกับกำลังบอกให้เธอรู้ว่า เธอได้ติดอยู่ในโลกแห่งวิญญาณแล้ว
หญิงสาวเร่ร่อนไปในความมืดมิดอย่างสิ้นหวัง จนกระทั่งเธอมาพบกับวิญญาณของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง วิญญาณตนนั้นเล่าให้ฟังว่า รถทัวร์คันนี้เป็นรถผี ที่มักจะวิ่งอยู่ในช่วงเวลาดึกๆ เพื่อลักพาตัวผู้โดยสารไปยังโลกแห่งวิญญาณ
แม้จะสิ้นหวัง แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมแพ้ เธอยึดเอาความหวังเล็กๆ ไว้ ว่าสักวันจะต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น จนกระทั่งรุ่งสางมาถึง แสงตะวันสาดส่องลงมาบนรถทัวร์ ช่วยให้หญิงสาวหลุดพ้นจากโลกแห่งวิญญาณเฮี้ยนออกมาได้
จากวันนั้น หญิงสาวผู้รอดชีวิตก็ไม่กล้าเดินทางด้วยรถทัวร์อีกเลย เธอเล่าเรื่องราวสุดสยองขวัญนี้ให้ทุกคนฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ไม่ให้ใครต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเธอ เพราะรถทัวร์วีไอผีคันนั้น ยังคงวิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในความมืด คอยลักพาตัวผู้โดยสารผู้โชคร้ายอยู่