ระวัง! โรคไข้นกแก้วที่มักมองข้าม





โรคไข้นกแก้ว หรือ Psittacosis เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย Chlamydia psittaci ซึ่งพบได้ในนกหลายชนิด โดยเฉพาะนกแก้ว นกกระตั้ว และนกพิราบ นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น แมว สุนัข และแพะ

สาเหตุของโรคไข้นกแก้ว

โรคนี้เกิดจากการสูดดมฝุ่นละอองที่มีแบคทีเรีย Chlamydia psittaci ซึ่งพบได้ในมูล นก หายใจ และขนของนกที่ติดเชื้อ มักพบในผู้ที่เลี้ยงนก แต่ยังสามารถเกิดได้ในผู้ที่สัมผัสกับนกในสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น สวนสาธารณะ หรือฟาร์ม

อาการของโรคไข้นกแก้ว

อาการของโรคนี้สามารถแตกต่างกันไปจากไม่มีอาการจนถึงอาการรุนแรง อาการส่วนใหญ่มักปรากฏภายใน 10-15 วันหลังจากสัมผัสกับแบคทีเรีย ได้แก่

* ไข้สูง หนาวสั่น
* ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
* เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
* ไอแห้งหรือมีเสมหะ
* ปวดหน้าอก หายใจลำบาก

ในบางรายที่มีอาการรุนแรง อาจพัฒนาเป็นปอดอักเสบ หรือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้

การรักษาโรคไข้นกแก้ว

การรักษาโรคไข้นกแก้วมักใช้ยาปฏิชีวนะ Doxycycline หรือ Azithromycin เป็นหลัก ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อโรค ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอาการ

การป้องกันโรคไข้นกแก้ว

การป้องกันโรคไข้นกแก้วที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับนกที่ติดเชื้อ สำหรับผู้ที่มีนกเลี้ยง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:

* ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสกับนก
* ทำความสะอาดกรงนกและของใช้ของนกเป็นประจำ
* พานกไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ
* หลีกเลี่ยงการจูบนกหรือสัมผัสกับขนและมูลของนก
* สวมหน้ากากอนามัยเมื่อทำความสะอาดกรงนกหรือสัมผัสกับนกที่ไม่คุ้นเคย