ลูกหมี-รัศมี




มีคนเคยถามคนเขียนบ้างไหมว่าทำไมถึงใช้ นามปากกาว่า "ลูกหมี-รัศมี" คำตอบของคำถามนี้ ย้อนเวลากลับไปหลายสิบปีในสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่ที่จังหวัดภูเก็ต
บนเกาะภูเก็ตในสมัยก่อนไม่ได้เจริญอย่างทุกวันนี้ การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างอำเภอต่างๆ อาจต้องใช้เวลานานกว่า 4-5 ชั่วโมง แล้วถ้าไปถึงที่หมายแล้วล่ะก็... ต้องรอรถโดยสารกลับเที่ยวถัดไปอีกหลายชั่วโมง
ถึงอย่างนั้น ผู้เขียนก็ดื้อรั้นที่จะเดินทางคนเดียวไปหาคุณย่าที่อำเภออื่นทุกวันหยุด คุณย่าจะคอยเฝ้ารอหลานสาวคนโปรดอยู่ที่หน้าประตูเสมอ เวลาเดินเข้าไปในบ้านคุณย่า ราวกับได้เดินเข้าไปใน “โลกแห่งกาลเวลา” ของสะสมและภาพถ่ายของครอบครัวเรียงรายอยู่เต็มผนังบ้าน มีกลิ่นคุ๊กกี้โฮมเมดลอยอวลมาแตะจมูก ประหนึ่งเป็นการต้อนรับหลานสาวที่เหนื่อยล้า
หนึ่งในสิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุดเวลามาหาคุณย่า คือการนั่งฟังคุณย่าเล่านิทานก่อนนอน คุณย่าเล่านิทานได้สนุกมาก ผู้เขียนอินกับเรื่องราวทุกตัวละคร จนวันหนึ่ง...ผู้เขียนก็ถามคุณย่าไปว่า “แล้วคุณย่าล่ะ ทำไมคุณย่าถึงชื่อรัศมี”
คุณย่าเล่าว่า เมื่อครั้งคุณย่ายังเป็นสาว คุณย่าได้บวชชีที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ระหว่างที่บวชอยู่นั้น คุณย่าชอบเลี้ยงหมีมากๆ จนเพื่อนๆ พระภิกษุณีเรียกคุณย่าว่า “แม่ชีเลี้ยงหมี” แต่มีวันหนึ่ง... หมีที่คุณย่าเลี้ยงอยู่ ได้หลุดไปทำร้ายคนอื่น ด้วยความตกใจ คุณย่ากลัวความผิดที่หมีก่อไว้ จึงรีบหนีออกจากวัด แล้วไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย
หลังจากสึกออกมา คุณย่าก็เปลี่ยนชื่อเป็น “รัศมี” ซึ่งเป็นชื่อที่อาจารย์ที่สอนธรรมะเป็นคนตั้งให้ คุณย่าบอกว่า ชื่อใหม่นี้มีความหมายดี เพราะแปลว่า “แสงสว่าง” คุณย่าอยากให้ชื่อใหม่นี้เป็นเครื่องเตือนใจ ส่องนำทางให้คุณย่าเดินในทางที่ถูกที่ควร
เมื่อผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวของคุณย่าจบ ก็อดที่จะรู้สึกทึ่งในตัวคุณย่าไม่ได้ จากเด็กสาวที่อ่อนต่อโลกกลายมาเป็นแม่พระที่คอยช่วยเหลือสรรพสัตว์ แล้วก็กลายมาเป็นคุณย่าใจดีของผู้เขียนในปัจจุบัน นับเป็นเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา
หลังจากวันนั้น ผู้เขียนก็ใช้ชื่อว่า “ลูกหมี-รัศมี” เป็นนามปากกา เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณย่า และเพื่อเตือนใจตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตจะมีอุปสรรคมากมายสักเพียงใด จงพยายามเดินต่อไปในทางที่ถูกที่ควร อย่าให้แสงสว่างในใจของเราดับลงเป็นอันขาด