สุวัจน์




ใครๆ ก็ต้องเคยคิดอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตกันบ้างแหละ เพื่อจะได้ลดข้อผิดพลาดลงและเกิดความสำเร็จมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับผม ผู้กำลังอยู่ในวัยที่หลายๆ คนจะบอกว่าเป็นวัยหนุ่มแล้วนั้น เวลากลับเล่นตลก ผมยังไม่เคยคิดจะแก้ไขอดีตกลับหลังเลย เพราะความล้มเหลวมักทำให้ผมได้สิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์มาเท่านั้น แล้วก็ยังเชื่อว่าในอนาคตนั้นอาจทำให้เกิดอะไรใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้
แม้เส้นทางจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ผมก็ได้ประสบการณ์ชีวิตที่น้อยคนนักจะได้เรียนรู้ วันนี้เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กตัวน้อยจนถึงตอนนี้ว่า ผมได้อะไรจากสิ่งที่ทำให้ผมคนหนึ่งมีชีวิตเหมือนในนิยายเรื่องพระเอกตกอับมาหรือเปล่า
ผมเป็นลูกชาวนาที่อยู่ในชนบทของจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ครอบครัวของผมค่อนข้างมีฐานะยากจน แต่ก็สามารถมีกินมีใช้ไม่ขาดแคลนอะไร พ่อแม่ก็เลี้ยงดูผมมาด้วยความขยันหมั่นเพียรจนผมจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศไทย
แต่เส้นทางชีวิตของผมกลับพลิกผันในปี 2540 เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงธุรกิจของพ่อกับแม่ ธุรกิจขนาดเล็กที่พวกท่านค่อยๆ สร้างมากับมือตั้งแต่ผมยังเด็ก ต้องล้มละลาย เพราะพิษหนี้สินที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ครอบครัวผมต้องกลายเป็นหนี้สินกว่า 10 ล้านบาท ชั่วข้ามคืน
จากคนที่เคยมีกินมีใช้ กลับกลายมาเป็นไม่มีอะไรเลย บ้านที่เราอาศัยอยู่ก็ต้องขายทอดตลาดเพื่อชดใช้หนี้สินที่มีอยู่ เพียงแค่ชั่วพริบตา บ้าน รถ และทรัพย์สินต่างๆ ที่เคยมีก็ต้องสูญหายไป ในขณะที่ครอบครัวผมยังคงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อใช้หนี้สินที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ในช่วงวิกฤตนี้คือ ประสบการณ์ชีวิตที่น้อยคนนักจะได้เรียนรู้ ผมได้เรียนรู้ว่าในยามที่ตกต่ำที่สุด สิ่งใดที่ผมยังคงมีอยู่ แล้วสิ่งใดที่ผมได้สูญเสียไป
ผมสูญเสียทรัพย์สินเงินทองไปในชั่วพริบตา แต่สิ่งที่ผมยังคงมีอยู่ก็คือ ครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ที่คอยให้กำลังใจ และความรู้ความสามารถที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิต
ในช่วงวิกฤตนั้น ผมได้ตัดสินใจที่จะกลับไปอยู่บ้านเกิด เพื่อช่วยพ่อแม่ใช้หนี้สินที่เกิดขึ้น ผมได้หางานทำที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดบ้านเกิด แล้วก็ส่งเงินให้พ่อแม่ใช้หนี้ทุกเดือน
ผมทำงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ของครอบครัว และก็จะไม่หยุดทำงานจนกว่าจะหมดหนี้ ผมเชื่อว่าความขยันอดทนคือหนทางเดียวที่จะทำให้ผมสามารถพาครอบครัวของผมก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้
ผมทุ่มเทเวลาและแรงกายให้กับการทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่เคยคิดย่อท้อว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหมดหนี้สินที่เกิดขึ้น ผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้เพื่อให้ครอบครัวของผมมีความสุขอีกครั้ง
ระหว่างที่ทำงานใช้หนี้สิน ผมก็ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านการบริหารธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างธุรกิจของตัวเองในอนาคต ผมเรียนรู้ทั้งจากประสบการณ์จริงที่ผมได้จากการทำงาน และจากการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
หลังจากทำงานมาได้ 5 ปี ผมก็ได้มีโอกาสเปิดธุรกิจของตัวเองเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ โดยใช้เงินเก็บที่ผมได้จากการทำงานทั้งหมดมาเป็นทุนเริ่มต้น ธุรกิจของผมประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะผมได้นำเอาประสบการณ์และความรู้ที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ทำงานมา ปรับใช้กับการบริหารธุรกิจของตัวเอง
ปัจจุบันธุรกิจของผมเติบโตอย่างรวดเร็ว มีลูกค้ามากมายสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโรงงานของผม ผมมีรายได้จากการทำธุรกิจที่มากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว แล้วก็ส่งเงินให้พ่อแม่ใช้หนี้สินได้ทุกๆ เดือน
ผมภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง ที่สามารถก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้นมาได้ และทำให้ครอบครัวของผมมีความสุขอีกครั้ง ความสำเร็จของผมไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
ผมได้เรียนรู้ว่าในยามที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม และยังคงมุ่งมั่นที่จะสู้ต่อไป เพื่อคนที่เรารักและเพื่อตัวเราเอง
ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือเกิดมาในครอบครัวแบบไหนก็ตาม เพียงแค่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ และกล้าที่จะลงมือทำ