อภัยโทษ 2567: เรื่องราวการอภัยที่สั่นสะเทือนหัวใจ




พระคุณของพระราชา
ทุกวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ทั้งประเทศเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องขังที่อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ โดยในปีนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้เสนอชื่อผู้ต้องขังที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาและได้รับพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น 30,603 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีนักโทษชั้นเยี่ยมรวมอยู่ด้วย 1,423 คน
การเสนอชื่อผู้ต้องขังเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในแต่ละปีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย กรมราชทัณฑ์ต้องกลั่นกรองผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำอย่างเคร่งครัด ไม่เคยทำผิดวินัยร้ายแรง และมีพัฒนาการที่ดีในระหว่างที่ต้องโทษ ตลอดจนต้องไม่มีคดีความอื่นที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลอีกด้วย
ความหมายของอภัยโทษ
การได้รับพระราชทานอภัยโทษเปรียบเสมือนแสงสว่างในปลายอุโมงค์สำหรับผู้ต้องขังหลายๆ คน เพราะนอกจากจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสได้กลับคืนสู่สังคมเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยเติมเต็มความหวังและความฝันที่ได้สูญเสียไปในช่วงเวลาที่ต้องโทษอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลับตัวเป็นคนดี และไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก เพราะโอกาสที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย และการได้รับโอกาสครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา
เรื่องราวอภัยโทษที่น่าประทับใจ
ในทุกๆ ปีจะมีเรื่องราวการอภัยโทษที่น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมาย เรื่องราวที่เล่าให้เราฟังถึงความหมายของคำว่า "ให้อภัย" ที่แท้จริง
เรื่องราวที่ 1
เรื่องราวของผู้ต้องขังรายหนึ่งที่ต้องโทษจำคุกในคดีฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา โทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อเข้ามาอยู่ที่เรือนจำ เขาอยู่ในสภาพที่แย่มาก ทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ไม่เคยละทิ้งเขา พวกเขาช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจของเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้เข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพตัดเย็บผ้า และค้นพบพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขา จากนั้นเขาก็ได้ตั้งใจฝึกฝนฝีมือของตัวเองจนกลายเป็นนักตัดเย็บผ้าที่เก่งกล้าสามารถ และได้นำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับผู้ต้องขังคนอื่นๆ จนกระทั่งเขาได้รับพระราชทานอภัยโทษก่อนกำหนด และกลับไปประกอบอาชีพตัดเย็บผ้าเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวได้อย่างภาคภูมิใจ
เรื่องราวที่ 2
เรื่องราวของผู้ต้องขังรายหนึ่งที่ต้องโทษจำคุกในคดียาเสพติด โดยโทษจำคุก 15 ปี เมื่อเข้ามาอยู่ที่เรือนจำ เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและชอบก่อเรื่องวิวาท แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ยังคงอดทนและให้โอกาสเขาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขามีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการธรรมะในเรือนจำ และได้ค้นพบความสงบสุขจากการนั่งสมาธิ ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น กลายเป็นคนที่มีอารมณ์เยือกเย็นและมีสติมากขึ้น และเมื่อเขาได้รับพระราชทานอภัยโทษก่อนกำหนด เขาก็ตั้งใจที่จะไปบวชทดแทนคุณพระคุณของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และพระราชทานอภัยโทษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บทเรียนจากการอภัยโทษ
การอภัยโทษไม่ใช่เพียงแค่การลดโทษให้แก่ผู้ต้องขัง แต่ยังเป็นการมอบโอกาสครั้งที่สองให้กับพวกเขาในการกลับตัวเป็นคนดี และเป็นการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม
การอภัยโทษเป็นสิ่งที่ดีงามที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยมาช้านาน และเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานโอกาสให้แก่ผู้ที่สำนึกผิดและตั้งใจกลับตัวเป็นคนดี เพื่อให้พวกเขากลับมาเป็นพลังแห่งความดีให้กับสังคม