เหมันต์ใต้เงาจันทร์




ยามเมื่อลมหนาวปะทะผิวกาย สร้างความหนาวเหน็บซอกซอนเข้าไปในหัวใจ ดั่งดวงจันทร์ที่สาดส่องแสงสีนวลเย็นลงมาในฤดูเหมันต์ เรื่องราวบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดเหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นในยามสิ้นฤดูใบไม้ผลิ

ครั้งหนึ่งในห้วงฤดูหนาวอันโหดร้าย ฉันจำได้ว่าครั้งนั้นฉันนั่งอยู่คนเดียวในมุมหนึ่งของห้องสมุด มองออกไปนอกหน้าต่างที่เปียกฝน มองต้นไม้ใบไม้ร่วงหล่นเกลื่อนพื้น ดั่งความรู้สึกที่หล่นหายไปจากฉันเมื่อหลายปีก่อน วันนั้นฉันรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ฉันจำได้ว่าคืนนั้นฉันนอนไม่หลับทั้งคืน คิดทบทวนและซาบซึ้งกับความรู้สึกที่ฉันเคยมีและตอนนี้ได้หายไปแล้ว ฉันคิดถึงเสียงหัวเราะที่เคยดังก้องอยู่ในบ้าน ฉันคิดถึงอ้อมกอดที่เคยอบอุ่นซึ่งตอนนี้ได้เย็นชาลง

เมื่อเช้าตรมาถึง ฉันตัดสินใจที่จะเดินออกไปนอกบ้าน ฉันเดินผ่านสวนสาธารณะใกล้บ้าน มองดูเด็กๆ วิ่งเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาดูมีความสุขและไร้กังวลมาก ฉันอดคิดไม่ได้ว่าตอนฉันยังเด็ก ฉันก็เคยมีความสุขเหมือนพวกเขา

แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับความจริงของโลก ฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความโศกเศร้า ฉันได้เรียนรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตก็ไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้

ฉันเดินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉันนั่งลงบนม้านั่งและมองออกไปยังผืนน้ำที่เงียบสงบ ดวงจันทร์สีนวลส่องแสงลงมาสู่ผิวน้ำ สร้างเงาสะท้อนที่สวยงาม

ฉันมองดวงจันทร์และคิดถึงความรู้สึกที่ฉันเคยมี ฉันคิดถึงความหวัง ความฝัน และความปรารถนาของฉัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้จางหายไปแล้วเหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่น

ฉันนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มลับขอบฟ้า ฉันลุกขึ้นและเดินกลับบ้าน ฉันรู้ว่าฉันไม่มีวันลืมความรู้สึกที่ฉันเคยมีได้ แต่ฉันก็รู้ด้วยว่าฉันต้องก้าวต่อไป

ฉันรู้ว่าฤดูเหมันต์จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า ฉันรู้ว่าดอกไม้จะผลิบานอีกครั้ง และชีวิตก็จะงอกงามขึ้นมาใหม่ ฉันรู้ว่าความเจ็บปวดจะยังคงอยู่ แต่ฉันก็รู้ว่าฉันจะเข้มแข็งขึ้น

ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง แต่ก็มีความหวังอยู่ในใจ เพราะฉันรู้ว่าดวงจันทร์จะยังคงส่องแสงต่อไปแม้ในเหมันต์อันมืดมิด ตราบใดที่ฉันยังมีดวงจันทร์ ฉันก็จะสามารถก้าวต่อไปได้