โรคหัด




สวัสดีครับทุกๆ ท่าน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องโรคหัด ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ แล้วเราจะป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร ไปติดตามกันเลยครับ
โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Measles virus โดยเชื้อนี้จะแพร่กระจายผ่านละอองฝอยในอากาศจากการพูด ไอ หรือจามของผู้ป่วย ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่เคยเป็นโรคหัดมาก่อน จะมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ
อาการของโรคหัดจะมี 3 ระยะคือ
1. ระยะฟักตัว โดยจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ไวรัสจะแบ่งตัวในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ต่ำๆ ไอ มีน้ำมูก โดยอาการเหล่านี้อาจคงอยู่ประมาณ 2-4 วัน
2. ระยะออกผื่น โรคจะเริ่มรุนแรงขึ้น ไข้จะสูงขึ้นจนถึง 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป อาจมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้าก่อน แล้วค่อยๆ ลามไปทั่วทั้งตัว โดยผื่นจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีแดง จับแล้วแข็งๆ ปลายแหลม อาการเหล่านี้จะคงอยู่ประมาณ 4-7 วัน
3. ระยะฟื้นตัว อาการไข้และผื่นจะค่อยๆ ลดลง แต่ผู้ป่วยอาจยังไอและมีน้ำมูกอยู่ได้อีกประมาณ 1-2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบบ่อยได้แก่ ปอดบวม ท้องร่วง หูชั้นกลางอักเสบ และสมองอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือผู้หญิงตั้งครรภ์ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย ได้แก่ ตับอักเสบ หลอดลมอักเสบ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
การรักษาโรคหัด ยังไม่มีวิธีการรักษาที่จำเพาะ เน้นการรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ แก้ไอ หรือจ่ายยาปฏิชีวนะหากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์
วิธีการป้องกันโรคหัดที่ดีที่สุดคือ การรับวัคซีน MMR (Measles, Mumps, Rubella) ซึ่งวัคซีนนี้จะช่วยป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันได้ โดยเด็กทุกๆ คนควรได้รับวัคซีน MMR จำนวน 2 เข็ม เข็มแรกเมื่ออายุ 9 เดือน และเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี
นอกจากการรับวัคซีนแล้ว การล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคหัด ก็เป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อได้เช่นกัน
โรคหัดเป็นโรคที่ร้ายแรงและสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการพาลูกๆ ไปรับวัคซีนตามกำหนด เพื่อป้องกันโรคนี้และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้